บูรณาการ บ่อเจ็ดลูก
ข้อมูลพื้นฐานบ้านบ่อเจ็ดลูก
บ้านบ่อเจ็ดลูกตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบล
ปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นหมู่บ้านที่ติดกับทะเลอันดามัน
คนในชุมชนยึดอาชีพประมงเป็นหลัก รองลงมาคืออาชีพค้าขาย อยู่ห่างไกลจากชุมชน
ห่างจากอำเภอละงูประมาณ 18 กิโลเมตร
เป็นชุมชนชนบท ชาวบ้านในชุมชนเป็นคนมีน้ำใจ เป็นกันเอง
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อัธยาศัยไมตรีที่ดีต่อผู้พบเห็น
การเป็นอยู่เรียบง่าย ทุกคนในหมู่บ้านจะรู้จักกันหมด
มีความเป็นอยู่แบบพี่น้องกัน ได้มาก็แบ่งกินกัน
มีความเคร่งครัดในเรื่องของศาสนา มี
การสอนการอ่านอัล-กุรอาน ในชุมชนมีโต๊ะครู (นักวิชาการอิสลาม)
ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศาสนา และมีการแลกเปลี่ยนกันในเรื่องของศาสนา
ชาวบ้านจึงใช้หลักการทางศาสนาอิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อาณาเขต
ทิศเหนือ จดหมู่ที่ 6 บ้านสนใหม่ ต .แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล
ทิศใต้ จดหมู่ที่ 2 บ้านปากบารา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล
ทิศตะวันออก จดหมู่ที่ 7 บ้านปีใหญ่ ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล
ทิศตะวันตก จดทะเลอันดามัน
ตำนานบ่อเจ็ดลูก
บ่อ
เจ็ดลูก
ชื่อนี้ชวนสงสัย....ถามต่อว่า....ทำไมต้องชื่อนี้....มีความเป็นมาอย่างไร
เกิดจินตนาการต่างๆ
นานา........อดีตอันยาวนานยังมีชาวเลตีนแดงเผ่ามอแกนซึ่งอาศัยไม่ค่อยเป็น
หลักแหล่งได้เดินทางมา ณ
ที่เกาะหนึ่งซึ่งเป็นเกาะเล็กๆอยู่ทางตอนใต้ของทะเลอันดามัน
และได้เดินหาน้ำดื่ม จนเกิดเป็นตำนานเจ็ดบ่อขึ้นมา
แต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่านั้นบอกว่ามีสามตำนานด้วยกันที่ไม่สามารถยืนยัน
ได้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุดและเรื่องใดไม่เป็นความจริง ชาวเลเมื่อเดินหาน้ำดื่มจนมาพบบ่อน้ำผุดมาจากใต้ดินจำนวน 7บ่อด้วยกัน
บ่อแรกใหญ่หน่อยเรียกกันว่าบ่อพ่อ ที่เหลือก็เป็นบ่อแม่และบ่อลูก ขนาดลดหลั่นกันไป เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขอหรือกล่าวอะไรไว้ก็ได้ดังใจ มีการร้องรำทำเพลงบ้าง นำไก่ขาวมาเชือดบ้างเพื่อแก้บน อีกนัยหนึ่งก็ว่าเมื่อชาวเลต้องการน้ำก็ได้ทำการขุดบ่อน้ำขึ้นมา1 บ่อ ใช้มาตลอดจนกระทั่งมีลูกจำนวน 6 คน จำนวนคนในครอบครัวเพิ่มขึ้นจึงใช้กันไม่พอเกิดมีปากเสียงกัน พ่อก็เรียกลูกมาปรึกษาหารือจนมีข้อสรุปว่าให้แต่ละคนขุดบ่อมาคนละบ่อ ขุดใกล้ๆกับพ่อนี่แหละ จาก 1 บ่อ ก็เป็น 7 บ่อ ยังมีอีกตำนานที่บอกว่าชาวเลเมื่อได้รอนแรมมาพักที่เกาะแห่งนี้ ก็ได้ตั้งรกรากที่นี่ และได้ขุดบ่อน้ำเพื่อใช้กัน บ่อแรกที่ขุดพบว่าน้ำเค็มใช้ไม่ได้ก็ขุดต่ออีกก็เค็มอีก จนขุดมาจนถึงบ่อที่ 7 ปรากฏว่า น้ำจืด จึงได้ใช้กันเรื่อยมา ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองมีชายคนหนึ่งเดิมเป็นคนในพื้นที่บ้านตะโละใสชื่อว่านายอับดุลรอหมาน ปากบารา มีอาชีพทำการค้ากับรัฐปีนังสินค้าก็จะมี แป้ง สบู่ น้ำตาล ได้เข้ามาอาศัยที่แห่งนี้ ด้วยเป็นคนที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามก็เป็นผู้บุกเบิกสร้างมัสยิด ขึ้นมาและได้สอนให้กับชาวเลที่อาศัยอยู่ก่อนด้วย และดูแลความสงบของที่นี่ อยู่มาระยะหนึ่งก็ได้ชักชวนเครือญาติมาอยู่ด้วยคนก็เพิ่มขึ้นทำให้ชาวเลต้องอพยพจากเกาะแห่งนี้หาที่อยู่อาศัยใหม่เพราะพวกเขาไม่ชอบที่มีคนเยอะๆ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 นายอับดุลรอหมาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุน(เทียบกับปัจจุบันคือกำนัน)และได้รับพระราชทานนามสกุล เป็น ขุนบารา บุรีรักษ์ ท่านได้ขึ้นปกครองที่นี่ และได้เรียกสถานที่แห่งนี้ตามสัญลักษณ์ ว่าตาลากาตูโหย๊ะ ซึ่งเป็นภาษามาลายู (ตาลากา แปลว่า บ่อ / ตูโหย๊ะ แปลว่า 7 แปล
รวมกันว่า บ่อเจ็ดลูก) ไปขึ้นกับทางราชการเพื่อเป็นชื่อเรียกหมู่บ้าน
แต่ชื่อเรียกยากจึงเปลี่ยนเป็นชื่อภาษาไทยว่า บ้านบ่อเจ็ดลูก
มาจนถึงปัจจุบัน
ขุนบารา บุรีรักษ์มีลูกสาวทั้งหมด 4 คน ไม่มีทายาทผู้สืบสกุล ทำให้นามสกุลบุรีรักษ์ขาดหายไป ปัจจุบันยังมีลูกสาวอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และอาศัยในบ้านบ่อเจ็ดลูก คือคนที่ 4 มีชื่อว่านางไซหนุน ถิ่นกาแบง
ขุนบารา บุรีรักษ์มีลูกสาวทั้งหมด 4 คน ไม่มีทายาทผู้สืบสกุล ทำให้นามสกุลบุรีรักษ์ขาดหายไป ปัจจุบันยังมีลูกสาวอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และอาศัยในบ้านบ่อเจ็ดลูก คือคนที่ 4 มีชื่อว่านางไซหนุน ถิ่นกาแบง
ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว
โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก ปัจจุบันเนื้อที่ 2 ไร่ ได้บูรณะ ซ่อมแซมบางส่วน สร้างศาลาโดยงบประมาณจากศูนย์วัฒนธรรม จังหวัดสตูล และจัดทำป้ายโบราณสถาน ปลูกมะพร้าวสองยอด
เขาช้าง หรือเขาขี้มิ้น (ขมิ้น) มีชายคนหนึ่งของหมู่บ้านเดินทางไปหาขมิ้นที่หมู่บ้านสนกลาง (ปัจจุบันเป็นบ้านสนใหม่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ต.แหลม สน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านบ่อเจ็ดลูกมากนัก) พอไปถึงเขาช้าง ก็เหมือนกับมีเทพองค์หนึ่งมาบอกกับชายคนนั้นว่า มึงไม่ต้องไปหาขมิ้น มึงไปกับกูดีกว่า ชาย คนนั้นก็เดินตามไป และชายคนที่ชวนไปได้ขุดขมิ้นให้ พอกลับถึงบ้านเปิดดูปรากฏว่า ในกระสอบที่ใส่ขมิ้นนั้นได้กลายเป็นทองไปหมด ซึ่งทำให้ชายคนนั้นเป็นคนที่ร่ำรวยในเวลาต่อมา คนในสมัยก่อนจึงเรียกภูเขานั้นว่า เขาขมิ้น ตราบจนถึงปัจจุบัน เขาขมิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของบ้านบ่อเจ็ดลูก อยู่ตรงทางเข้าบ้านบ่อเจ็ดลูก ลักษณะคล้ายกับช้างกำลังหมอบเมื่อมองออกจากบ้านบ่อเจ็ดลูก
ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย ชาว บ้านในชุมชนเล่าว่า มีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ เป็นเสือที่ดุร้าย และมาชอบกินแพะของชาวบ้านอยู่เป็นประจำ อาศัยอยู่ในถ้ำในหมู่บ้าน ในคืนวันหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด ฝนตกมาก เสือตัวนี้ได้ออกมาที่คอกแพะ พวกชาวบานก็ได้ใช้ปืนยิงแต่ยิงไม่ถูก เสือได้วิ่งหลบเข้าไปในถ้ำ รออยู่นานเสือก็ไม่ออกมา ชาวบ้านเลยนำซากแพะที่ตายแล้วมาวางล่อปากถ้ำ ครู่ใหญ่ต่อมาเสือจึงออกมาอีกครั้งหนึ่ง จนในที่สุดก็สามารถยิงเสือตัวนี้ได้ รุ่งเช้าชาวบ้านแห่กันไปดูเสือว่าตายแล้วหรือยัง เพราะเสือนอนหมอบอยู่ปากถ้ำคล้ายกับว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกบริเวณที่เสือตายนี้ว่า ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย
ถ้ำฤาษี ปี พ.ศ. 2506 มีชายคนหนึ่งชื่ออุทัย สุวรรณฤกษ์ เป็น คนจังหวัดพัทลุง ได้เดินทางลงไปยังเกาะอาดัง เพื่อไปธุดง และอาศัยอยู่บนเกาะอาดังเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงได้อพยพมาอยู่ในถ้ำบ้านบ่อเจ็ดลูก สมัย ก่อนชาวบ้านเรียกถ้ำนี้ว่า ถ้ำเสือ เมื่อนายอุทัยมาพักจำศีลที่ถ้ำแห่งนี้ จึงเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำฤาษี จนถึงปัจจุบัน นายอุทัยจำศีลเป็นฤาษีอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน ลักษณะของถ้ำเป็นโดม ความกว้างในถ้ำประมาณ 10 X 10 เมตร ภายในถ้ำเป็นอุโมงค์มีค้างคาว มีนกเข้าไปอาศัย พื้นของถ้ำเป็นดินเหนียว ฝนตกจะไม่เปียก คนสมัยก่อนเชื่อว่าสถานตรงนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคนมาขอจากเจ้าที่ให้หายป่วย ให้หายเจ็บ หายไข้ เมื่อกลับไป ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่เล่าขานกันมา
ถ้ำทอง ถ้ำแห่งนี้อยู่ด้านหลังโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 200เมตร ด้านใน มีหินย้อย สีเหลืองอร่ามสวยงามมาก มีความกว้างประมาณ 6 เมตร สองข้างทางที่เดินเข้าไปภายในถ้ำเป็นหินย้อยอยู่ทั้ง 2 ด้าน ความยาวจากปากถ้ำจนทะลุประมาณ15 เมตร
หาดกะสิง เมื่อก่อนหาดนี้จะเกิดลมหมุนตลอด ชาวบ้านเรียกหาดนี้ว่าหาดลมหมุน ต่อมาเรียกกันว่า กะสิง (ลูกข่าง) เป็นชายหาดยาวประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นแหล่งหอยตะเภา หอยจะมีช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ของทุกปี คนทั่วไปนิยมมานั่งล้อมวงกินข้าว เล่นน้ำทะเล ตั้งแค็มป์พักแรม เป็นจุดชมวิวมองเห็น เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะบูโหลน เกาะลิบง เกาะสุกร จ.ตรัง เกาะเล็กเกาะน้อยคือเกาะหม้อ เกาะเลาเหลียง เกาะกล้วยในบริเวณใกล้เคียงได้ มองเห็นชาวประมงหาปลาอย่างชัดเจน
หาดนุ้ย เป็นชายหาดที่มีความยาว 500 เมตร เป็นหาดทรายปกคลุมด้วยป่าไม้มีทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว ชายหาดมีหินสลับกันทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่ คนในสมัยก่อนเมื่อหาหอยแล้วนำมาแกะที่ตรงนี้เรียกกันว่าทับหอย ชาย หาดนุ้ยเป็นส่วนหนึ่งของหาดกะสิงเพราะมีแนวอาณาเขตติดต่อกันเพียงแต่มีเขา ขวางกั้น สามารถเดินถึงกันได้เมื่อเวลาน้ำลด ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของปากน้ำรีสอร์ท
เขาหาดนุ้ย อยู่ติดกับหาดนุ้ยมีทางขึ้นที่ปากน้ำรีสอร์ท เป็นจุดชมวิวที่มองทิวทัศน์รอบๆทั้งในทะเล และหมู่บ้าน ความยาวชายหาด 500 เมตร ลักษณะชายหาดมีหินสลับซับซ้อนเป็นชั้นและเป็นแท่น นักท่องเที่ยวสามารถนั่งดูธรรมชาติและลงเล่นน้ำได้ตลอดเวลา
ผาใช้หนี้ เป็น ตำนานที่เล่ากันมาว่า มีชายวัยกลางคนไม่ทราบชื่อ ทำอาชีพประมงออกทะเลหาปลา เป็นลูกน้องของเถ้าแก่จีน มีหนี้สินมาก ไม่มีปัญญาที่จะใช้หนี้ให้หมดได้ จึงไปปรึกษากับเถ้าแก่เพื่อหาหนทางปลดหนี้ จะยอมทำตามทุกอย่าง เถ้าแก่จีนจึงใช้ให้ไปกระโดดหน้าผา ถ้ากล้ากระโดดลงมาไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะยกหนี้สินทั้งหมดให้ ชายคนดังกล่าวจึงรับคำท้า แล้วขึ้นไปบนหน้าผากระโดดลงมาในช่วงที่เป็นลมมรสุมตะวันตก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าลมเล ลมได้พัดเขาไปตกในบริเวณอ่าวหนึ่งในท่านั่งสิหลา(นั่งขัดสมาธิ)ชีวิตรอดปลอดภัย หนี้สินที่ค้างอยู่ก็หมดไป นี่คือที่มาของผาใช้หนี้
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสตูล เป็น ที่เพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์สัตว์น้ำ มีพันธุ์สัตว์น้ำหลายชนิด เพื่อนำไปขยายพันธุ์ เป็นปลาขนาดใหญ่ สัตว์น้ำหายาก น้ำหนักประมาณ20 กิโลกรัม เช่น ปลากะพงแดง ปลามง ปลาเก๋า ปลาช่อนทะเล ปลากะพงหิน ฯลฯ ตั้งอยู่เกาะเขาใหญ่ใช้เวลานั่งเรือจากท่าเรือบ่อเจ็ดลูกประมาณ 20 นาที
ปราสาทหินพันยอด อยู่ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเกาะเขาใหญ่ มีหินสลับซับซ้อนกันคล้ายยอดปราสาทเป็นยอดมากมาย จึงเรียกประสาทพันยอด ผู้พบเห็นสามรถจินตนาการเป็นรูปต่างๆได้ เช่น สัตว์ ปราสาท นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือชมวิว ด้านล่างของปราสาทหินเป็นชายหาดกว้างประมาณ 20 ตารางเมตร เล่นน้ำ พักผ่อนได้ตามชอบ
เกาะเขาใหญ่ เป็นเกาะที่ใกล้กับชายฝั่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ที่สำคัญเป็นที่หลบมรสุมของชาวประมงยามที่ออกทะเล เป็นแหล่งทำมาหากิน แหล่งตกปลาและยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่พิเศษในบริเวณอ่าวสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภายในเกาะเขาใหญ่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน คือ อ่าวมะขาม เป็นชายหาดมีความยาวประมาณ 300เมตร พื้นที่บนเกาะมีเนื้อ ที่ 2 ไร่ ลักษณะชายหาดเป็นทรายปนซากปะการัง และถัดจากชายหาดลงไปเป็นแหล่งหอย เช่น หอยเสียบเล็บจง จากชายหาดลงไปจากฝั่งประมาณ 70เมตรเป็นแหล่งปะการัง กัลปังหา ปะการังต้น ถ้าวันใดอากาศดี น้ำทะเลใสจะเห็นปะการัง 7 สี จากชายหาดเป็นทางลาดขึ้นไปเป็นจุดชมวิวมองออกไปในทะเลเห็นเกาะต่างๆ ด้านหน้าจุดชมวิวจะเป็นที่ที่ชาวบ้านนิยมมาตกปลา
บ่อน้ำช่องขลาด เป็นแหล่งน้ำจืดที่ไหลผ่านมาจากซอกหินจากภูเขาใหญ่ไหลลง
สู่ ทะเล ในช่วงน้ำขึ้นบริเวณดังกล่าวจะจม เมื่อน้ำลงชาวประมงจะนำเรือเข้าไปเอาน้ำมาใช้ในการบริโภค อุปโภคในช่วงที่หาปลา และพัก ช่วงหลังกลุ่มชาวบ้านได้เข้าไปก่ออิฐเพื่อทำเป็นแอ่งน้ำรองรับน้ำไว้ใช้
อ่าวโละกะระ อยู่ด้านทิศตะวันออกของเขาใหญ่ เป็นชายหาดแนวยาวประมาณ 400 เมตร มีเทือกเขาซับซ้อนเป็นแนวยาว เหมาะแก่การเล่นน้ำ ตั้งแคมป์ สามารถเที่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงปลอดมรสุมลักษณะ พิเศษของอ่าวมีพืชน้ำชนิดหนึ่งเป็นไพร่น้ำที่ขึ้นตามแนวหินทับถมกันเป็นเวลา หลายปี ไพร่น้ำเหล่านี้ ชาวประมงนำมากินได้ คล้ายรังนก มองแล้วคล้ายกับการปูพรมมีความยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร มีสีเขียวอมเหลือง เมื่อเดินย่ำลงไปจะรู้สึกนิ่มทั้งเวลาที่มีน้ำ และช่วงที่น้ำแห้งจะมองเห็นทิวทัศน์ตลอดแนวชายฝั่ง
อ่าวหินงาม ติด กับอ่าวตะโล๊ะบินแต ลักษณะของอ่าวเป็นหินขนาดต่างๆ เล็กใหญ่ เรียงรายกันอยู่เป็นหินลื่น มีสีขาว สีเขียว สีแดง ด้านบนหินงามเป็นแท่นเหมาะสำหรับนั่งชมวิว มีคลื่นซัดเข้ามาเป็นระลอก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในทะเล เห็นเกาะต่างๆได้ทั้งหมด ช่วงที่น้ำลดสามารถเดินทะลุไปที่อ่าวตะโล๊ะบินแตได้
อ่าวก้ามปู (อ่าวแตหลา) เป็นอ่าวคล้ายรูปเกือกม้า มีความยาวประมาณ 700 เมตร ช่วงฤดูฝนภายในอ่าวมีน้ำตกไหลเป็นลำธาร เป็นแหล่งซับน้ำ 4 แหล่ง เป็นอ่าวที่สงบ ปราศจากคลื่นลม สามารถเดินทางได้ตลอดปี ช่วงน้ำลงต่ำสุด จะเห็นปะการังตลอดแนว มีเต่าจะขึ้นมาวางไข่ในอ่าวนี้เป็นประจำ ขึ้นจากชายหาดไปประมาณ ๒๐๐ เมตร มีเพิงถ้ำยาวประมาณ20 เมตร กว้าง 5 เมตร จะเห็นซากของเปลือกหอยนางรมในเพิงถ้ำนั้น
หินตาหินยาย (โต๊ะหีโต๊ะดอ) เมื่อเรือแตก สองคนผัวเมีย ก็ได้เกาะกระดานเรือมาติดอยู่บริเวณคลองราโหง๊ะ(ปัจจุบัน) ใน สภาพที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเดินเปลือยกาย ได้พบกับโต๊ะจาไหมซึ่งกำลังรุนกุ้งอยู่ โต๊ะจาไหมเป็นคนที่มีคำพูดศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความที่เห็นสภาพของสองเมียที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ เลยทักขึ้นว่าพวกเจ้าเป็นคนสกปรก หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องข้ามมาฝั่งนี้ จึง สาปให้คนทั้งสองคนกลายเป็นหิน จึงกลายเป็นที่มาของหินตาหินยาย หินยายที่มีลักษณะคล้ายกับอวัยวะเพศหญิง และหินตาก็มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันคนละฝั่งคลอง หินเหล่านี้ อยู่บริเวณหน้าผาใช้หนี้ และหินต่างๆ เช่น หินพับผ้า หินเชี้ยน หินเภา หินไก่ หินลูกช้าง หินเหล่านี้เกิดจากตำนานเกาะเภตราทั้งหมด
เขาช้าง หรือเขาขี้มิ้น (ขมิ้น) มีชายคนหนึ่งของหมู่บ้านเดินทางไปหาขมิ้นที่หมู่บ้านสนกลาง (ปัจจุบันเป็นบ้านสนใหม่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ต.แหลม สน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านบ่อเจ็ดลูกมากนัก) พอไปถึงเขาช้าง ก็เหมือนกับมีเทพองค์หนึ่งมาบอกกับชายคนนั้นว่า มึงไม่ต้องไปหาขมิ้น มึงไปกับกูดีกว่า ชาย คนนั้นก็เดินตามไป และชายคนที่ชวนไปได้ขุดขมิ้นให้ พอกลับถึงบ้านเปิดดูปรากฏว่า ในกระสอบที่ใส่ขมิ้นนั้นได้กลายเป็นทองไปหมด ซึ่งทำให้ชายคนนั้นเป็นคนที่ร่ำรวยในเวลาต่อมา คนในสมัยก่อนจึงเรียกภูเขานั้นว่า เขาขมิ้น ตราบจนถึงปัจจุบัน เขาขมิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของบ้านบ่อเจ็ดลูก อยู่ตรงทางเข้าบ้านบ่อเจ็ดลูก ลักษณะคล้ายกับช้างกำลังหมอบเมื่อมองออกจากบ้านบ่อเจ็ดลูก
ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย ชาว บ้านในชุมชนเล่าว่า มีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ เป็นเสือที่ดุร้าย และมาชอบกินแพะของชาวบ้านอยู่เป็นประจำ อาศัยอยู่ในถ้ำในหมู่บ้าน ในคืนวันหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด ฝนตกมาก เสือตัวนี้ได้ออกมาที่คอกแพะ พวกชาวบานก็ได้ใช้ปืนยิงแต่ยิงไม่ถูก เสือได้วิ่งหลบเข้าไปในถ้ำ รออยู่นานเสือก็ไม่ออกมา ชาวบ้านเลยนำซากแพะที่ตายแล้วมาวางล่อปากถ้ำ ครู่ใหญ่ต่อมาเสือจึงออกมาอีกครั้งหนึ่ง จนในที่สุดก็สามารถยิงเสือตัวนี้ได้ รุ่งเช้าชาวบ้านแห่กันไปดูเสือว่าตายแล้วหรือยัง เพราะเสือนอนหมอบอยู่ปากถ้ำคล้ายกับว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกบริเวณที่เสือตายนี้ว่า ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย
ถ้ำฤาษี ปี พ.ศ. 2506 มีชายคนหนึ่งชื่ออุทัย สุวรรณฤกษ์ เป็น คนจังหวัดพัทลุง ได้เดินทางลงไปยังเกาะอาดัง เพื่อไปธุดง และอาศัยอยู่บนเกาะอาดังเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงได้อพยพมาอยู่ในถ้ำบ้านบ่อเจ็ดลูก สมัย ก่อนชาวบ้านเรียกถ้ำนี้ว่า ถ้ำเสือ เมื่อนายอุทัยมาพักจำศีลที่ถ้ำแห่งนี้ จึงเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำฤาษี จนถึงปัจจุบัน นายอุทัยจำศีลเป็นฤาษีอยู่ในถ้ำเป็นเวลานาน ลักษณะของถ้ำเป็นโดม ความกว้างในถ้ำประมาณ 10 X 10 เมตร ภายในถ้ำเป็นอุโมงค์มีค้างคาว มีนกเข้าไปอาศัย พื้นของถ้ำเป็นดินเหนียว ฝนตกจะไม่เปียก คนสมัยก่อนเชื่อว่าสถานตรงนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคนมาขอจากเจ้าที่ให้หายป่วย ให้หายเจ็บ หายไข้ เมื่อกลับไป ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่เล่าขานกันมา
ถ้ำทอง ถ้ำแห่งนี้อยู่ด้านหลังโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก ห่างจากโรงเรียนไปประมาณ 200เมตร ด้านใน มีหินย้อย สีเหลืองอร่ามสวยงามมาก มีความกว้างประมาณ 6 เมตร สองข้างทางที่เดินเข้าไปภายในถ้ำเป็นหินย้อยอยู่ทั้ง 2 ด้าน ความยาวจากปากถ้ำจนทะลุประมาณ15 เมตร
หาดกะสิง เมื่อก่อนหาดนี้จะเกิดลมหมุนตลอด ชาวบ้านเรียกหาดนี้ว่าหาดลมหมุน ต่อมาเรียกกันว่า กะสิง (ลูกข่าง) เป็นชายหาดยาวประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นแหล่งหอยตะเภา หอยจะมีช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ของทุกปี คนทั่วไปนิยมมานั่งล้อมวงกินข้าว เล่นน้ำทะเล ตั้งแค็มป์พักแรม เป็นจุดชมวิวมองเห็น เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะบูโหลน เกาะลิบง เกาะสุกร จ.ตรัง เกาะเล็กเกาะน้อยคือเกาะหม้อ เกาะเลาเหลียง เกาะกล้วยในบริเวณใกล้เคียงได้ มองเห็นชาวประมงหาปลาอย่างชัดเจน
หาดนุ้ย เป็นชายหาดที่มีความยาว 500 เมตร เป็นหาดทรายปกคลุมด้วยป่าไม้มีทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว ชายหาดมีหินสลับกันทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่ คนในสมัยก่อนเมื่อหาหอยแล้วนำมาแกะที่ตรงนี้เรียกกันว่าทับหอย ชาย หาดนุ้ยเป็นส่วนหนึ่งของหาดกะสิงเพราะมีแนวอาณาเขตติดต่อกันเพียงแต่มีเขา ขวางกั้น สามารถเดินถึงกันได้เมื่อเวลาน้ำลด ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของปากน้ำรีสอร์ท
เขาหาดนุ้ย อยู่ติดกับหาดนุ้ยมีทางขึ้นที่ปากน้ำรีสอร์ท เป็นจุดชมวิวที่มองทิวทัศน์รอบๆทั้งในทะเล และหมู่บ้าน ความยาวชายหาด 500 เมตร ลักษณะชายหาดมีหินสลับซับซ้อนเป็นชั้นและเป็นแท่น นักท่องเที่ยวสามารถนั่งดูธรรมชาติและลงเล่นน้ำได้ตลอดเวลา
ผาใช้หนี้ เป็น ตำนานที่เล่ากันมาว่า มีชายวัยกลางคนไม่ทราบชื่อ ทำอาชีพประมงออกทะเลหาปลา เป็นลูกน้องของเถ้าแก่จีน มีหนี้สินมาก ไม่มีปัญญาที่จะใช้หนี้ให้หมดได้ จึงไปปรึกษากับเถ้าแก่เพื่อหาหนทางปลดหนี้ จะยอมทำตามทุกอย่าง เถ้าแก่จีนจึงใช้ให้ไปกระโดดหน้าผา ถ้ากล้ากระโดดลงมาไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะยกหนี้สินทั้งหมดให้ ชายคนดังกล่าวจึงรับคำท้า แล้วขึ้นไปบนหน้าผากระโดดลงมาในช่วงที่เป็นลมมรสุมตะวันตก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าลมเล ลมได้พัดเขาไปตกในบริเวณอ่าวหนึ่งในท่านั่งสิหลา(นั่งขัดสมาธิ)ชีวิตรอดปลอดภัย หนี้สินที่ค้างอยู่ก็หมดไป นี่คือที่มาของผาใช้หนี้
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสตูล เป็น ที่เพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์สัตว์น้ำ มีพันธุ์สัตว์น้ำหลายชนิด เพื่อนำไปขยายพันธุ์ เป็นปลาขนาดใหญ่ สัตว์น้ำหายาก น้ำหนักประมาณ20 กิโลกรัม เช่น ปลากะพงแดง ปลามง ปลาเก๋า ปลาช่อนทะเล ปลากะพงหิน ฯลฯ ตั้งอยู่เกาะเขาใหญ่ใช้เวลานั่งเรือจากท่าเรือบ่อเจ็ดลูกประมาณ 20 นาที
ปราสาทหินพันยอด อยู่ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเกาะเขาใหญ่ มีหินสลับซับซ้อนกันคล้ายยอดปราสาทเป็นยอดมากมาย จึงเรียกประสาทพันยอด ผู้พบเห็นสามรถจินตนาการเป็นรูปต่างๆได้ เช่น สัตว์ ปราสาท นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือชมวิว ด้านล่างของปราสาทหินเป็นชายหาดกว้างประมาณ 20 ตารางเมตร เล่นน้ำ พักผ่อนได้ตามชอบ
เกาะเขาใหญ่ เป็นเกาะที่ใกล้กับชายฝั่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ที่สำคัญเป็นที่หลบมรสุมของชาวประมงยามที่ออกทะเล เป็นแหล่งทำมาหากิน แหล่งตกปลาและยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่พิเศษในบริเวณอ่าวสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภายในเกาะเขาใหญ่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน คือ อ่าวมะขาม เป็นชายหาดมีความยาวประมาณ 300เมตร พื้นที่บนเกาะมีเนื้อ ที่ 2 ไร่ ลักษณะชายหาดเป็นทรายปนซากปะการัง และถัดจากชายหาดลงไปเป็นแหล่งหอย เช่น หอยเสียบเล็บจง จากชายหาดลงไปจากฝั่งประมาณ 70เมตรเป็นแหล่งปะการัง กัลปังหา ปะการังต้น ถ้าวันใดอากาศดี น้ำทะเลใสจะเห็นปะการัง 7 สี จากชายหาดเป็นทางลาดขึ้นไปเป็นจุดชมวิวมองออกไปในทะเลเห็นเกาะต่างๆ ด้านหน้าจุดชมวิวจะเป็นที่ที่ชาวบ้านนิยมมาตกปลา
บ่อน้ำช่องขลาด เป็นแหล่งน้ำจืดที่ไหลผ่านมาจากซอกหินจากภูเขาใหญ่ไหลลง
สู่ ทะเล ในช่วงน้ำขึ้นบริเวณดังกล่าวจะจม เมื่อน้ำลงชาวประมงจะนำเรือเข้าไปเอาน้ำมาใช้ในการบริโภค อุปโภคในช่วงที่หาปลา และพัก ช่วงหลังกลุ่มชาวบ้านได้เข้าไปก่ออิฐเพื่อทำเป็นแอ่งน้ำรองรับน้ำไว้ใช้
อ่าวโละกะระ อยู่ด้านทิศตะวันออกของเขาใหญ่ เป็นชายหาดแนวยาวประมาณ 400 เมตร มีเทือกเขาซับซ้อนเป็นแนวยาว เหมาะแก่การเล่นน้ำ ตั้งแคมป์ สามารถเที่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงปลอดมรสุมลักษณะ พิเศษของอ่าวมีพืชน้ำชนิดหนึ่งเป็นไพร่น้ำที่ขึ้นตามแนวหินทับถมกันเป็นเวลา หลายปี ไพร่น้ำเหล่านี้ ชาวประมงนำมากินได้ คล้ายรังนก มองแล้วคล้ายกับการปูพรมมีความยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร มีสีเขียวอมเหลือง เมื่อเดินย่ำลงไปจะรู้สึกนิ่มทั้งเวลาที่มีน้ำ และช่วงที่น้ำแห้งจะมองเห็นทิวทัศน์ตลอดแนวชายฝั่ง
อ่าวหินงาม ติด กับอ่าวตะโล๊ะบินแต ลักษณะของอ่าวเป็นหินขนาดต่างๆ เล็กใหญ่ เรียงรายกันอยู่เป็นหินลื่น มีสีขาว สีเขียว สีแดง ด้านบนหินงามเป็นแท่นเหมาะสำหรับนั่งชมวิว มีคลื่นซัดเข้ามาเป็นระลอก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในทะเล เห็นเกาะต่างๆได้ทั้งหมด ช่วงที่น้ำลดสามารถเดินทะลุไปที่อ่าวตะโล๊ะบินแตได้
อ่าวก้ามปู (อ่าวแตหลา) เป็นอ่าวคล้ายรูปเกือกม้า มีความยาวประมาณ 700 เมตร ช่วงฤดูฝนภายในอ่าวมีน้ำตกไหลเป็นลำธาร เป็นแหล่งซับน้ำ 4 แหล่ง เป็นอ่าวที่สงบ ปราศจากคลื่นลม สามารถเดินทางได้ตลอดปี ช่วงน้ำลงต่ำสุด จะเห็นปะการังตลอดแนว มีเต่าจะขึ้นมาวางไข่ในอ่าวนี้เป็นประจำ ขึ้นจากชายหาดไปประมาณ ๒๐๐ เมตร มีเพิงถ้ำยาวประมาณ20 เมตร กว้าง 5 เมตร จะเห็นซากของเปลือกหอยนางรมในเพิงถ้ำนั้น
หินตาหินยาย (โต๊ะหีโต๊ะดอ) เมื่อเรือแตก สองคนผัวเมีย ก็ได้เกาะกระดานเรือมาติดอยู่บริเวณคลองราโหง๊ะ(ปัจจุบัน) ใน สภาพที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเดินเปลือยกาย ได้พบกับโต๊ะจาไหมซึ่งกำลังรุนกุ้งอยู่ โต๊ะจาไหมเป็นคนที่มีคำพูดศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความที่เห็นสภาพของสองเมียที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ เลยทักขึ้นว่าพวกเจ้าเป็นคนสกปรก หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไม่ต้องข้ามมาฝั่งนี้ จึง สาปให้คนทั้งสองคนกลายเป็นหิน จึงกลายเป็นที่มาของหินตาหินยาย หินยายที่มีลักษณะคล้ายกับอวัยวะเพศหญิง และหินตาก็มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันคนละฝั่งคลอง หินเหล่านี้ อยู่บริเวณหน้าผาใช้หนี้ และหินต่างๆ เช่น หินพับผ้า หินเชี้ยน หินเภา หินไก่ หินลูกช้าง หินเหล่านี้เกิดจากตำนานเกาะเภตราทั้งหมด
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
การจับปลา เพราะชาวบ้านบ่อเจ็ดลูกส่วนใหญ่มีอาชีพประมง เมื่อออกทะเลจับปลา ชาวประมงมักดูทิศทางลม ระดับน้ำในท้องทะเล ซึ่งในแต่ละวันไม่เหมือนกัน น้ำจะเดินเปลี่ยนทิศทางไปทุกๆ 10 นาที
ในการวางอวนแต่ละครั้งชาวประมงจะต้องรู้ลักษณะการเดินของน้ำ
ซึ่งทำให้ฝูงของปลาเปลี่ยนไป
การวางอวนต้องวางแบบขวางน้ำจึงจะได้ปลาเป็นลักษณะของธรรมชาติ
และต้องรู้แหล่งอาศัยของปลาแต่ละชนิด ปลามักจะอยู่ที่ดอนทราย
ถ้าเป็นกุ้งมักอาศัยดินที่เป็นโคลน ชาวบ้านมักจะจำลักษณะที่อยู่ของปลา
และบอกต่อกันไปสู่ลูกหลานซึ่งเป็นวิธีการหาปลาของคนสมัยก่อนที่ใช้กันมา
แต่ถ้าเป็นในปัจจุบันการจับปลาในเชิงพาณิชย์มักใช้ดาวเทียมค้นหาที่อยู่ของ
ฝูงปลา และสามารถจับได้ง่าย
ผูกอวนกุ้ง อวนลอย ในการผูกอวน การวางตาอวนต้องดูระยะห่าง ช่วงของการจับอวน (เม็ดแตง) การผูกอวนถ้าห่างเกินปลาจะไม่ติดอวน ถ้า
ผูกชิดกันเกินไป (เซาหรือหย่อน) ปลาจะติดดีปลดง่าย
เพราะฉะนั้นต้องผูกให้พอดี จะได้ปลาและปลดง่าย อวนก็ไม่พันกัน
และการผูกอวนเพื่อวางปลาแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน
นวดแผนโบราณ ผู้มีความรู้ในด้านนี้มีอยู่ 2 คน คือ นายถวิล หมันดี และนายรอเฉด ขุนพล ทั้งสองเป็นคนพิการทางสายตา ได้ผ่านการอบรมจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสตูล ใช้เวลา 3 เดือน เป็นหลักสูตรจากสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย จุดประสงค์ในการนวด คือ เพื่อคลายเครียด คลายเส้น รักษาอัมพฤกษ์ รักษาโรคเมื่อย การนวดฝ่าเท้า นวดขา และนวดทั้งร่างกาย เพื่อให้เส้นตื่นตัว ค่าบริการต่อครั้ง 100 บาท ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที
นวดแผนโบราณ ผู้มีความรู้ในด้านนี้มีอยู่ 2 คน คือ นายถวิล หมันดี และนายรอเฉด ขุนพล ทั้งสองเป็นคนพิการทางสายตา ได้ผ่านการอบรมจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสตูล ใช้เวลา 3 เดือน เป็นหลักสูตรจากสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย จุดประสงค์ในการนวด คือ เพื่อคลายเครียด คลายเส้น รักษาอัมพฤกษ์ รักษาโรคเมื่อย การนวดฝ่าเท้า นวดขา และนวดทั้งร่างกาย เพื่อให้เส้นตื่นตัว ค่าบริการต่อครั้ง 100 บาท ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที
นอกเหนือจากนั้นยังมีภูมิปัญญาในเรื่องหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น เย็บจาก เอาใบจากมาเย็บเพื่อนำไปมุงหลังคา ผู้ที่เย็บจากเพื่อขายเป็นประจำ คือ นางมาหวัน วิจิตร นางยำอ๊ะ หวังสบู นางมะ หวังสบู จากมีขนาดของตับความยาว 2 ศอก กับ 1 กำ ใช้ใบจากจำนวน 100 ใบ การเย็บจากแต่ละครั้ง 2 ใบ หรือ 1 คู่ อุปกรณ์ที่ในการเย็บ หวายความยาวประมาณ 3 ศอก ไม้ไผ่ผ่าซีก ความยาวประมาณ 2 ศอก และใบจาก ขายราคาตับละ 4 บาท ทำตุดง หรืองอบ จากใบจาก เสวียนหม้อ จากก้านจาก กำเปดหรือที่สำหรับใส่ยาเส้น เสื่อ กระจงใส่ของ ดอกไม้แจกัน จากใบเตย และการทำเรือหัวโทงจากเศษไม้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น